เขียนโดย: Surasak

เมื่อ: 4 ตุลาคม 2566 - 18:35

Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1 เปิดสเปกและข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ราคาเริ่ม 2.71 แสนบาท

      Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1 เปิดสเปกข้อมูลทั้งหมดแล้วที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งความน่าสนใจของรถมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสองรุ่นจะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากมันเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท Kawasaki หลังจากก่อนหน้ามีความพยายามนำเสนอรถมอเตอร์ไซค์พลังงานทางเลือกมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว

 

      เราคงต้องเริ่มกันที่ดีไซน์การออกแบบของรถทั้งสองรุ่นนี้ เรียกได้ว่าไม่มีความแตกต่างหรือแปลกหูแปลกตาเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพราะ Kawasaki ได้เลือกใช้รหัส Ninja ที่เป็นรถสปอร์ต และรหัส Z จะเป็นรถเน็กเก็ตไบค์ มาปรับแก้ให้กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั้งสองรุ่นนี้ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าบริษัทยังคง DNA การออกของรหัสเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนเหมือนเดิม

 

      เรื่องของมิติตัวรถทั้งความกว้าง ส่วนสูง และน้ำหนักตัวรถ จะมีความแตกต่างกันทั้งคู่ โดย Ninja e-1 มีความยาว 27 นิ้ว ในขณะที่ Z e-1 มีความยาว 28.7 นิ้ว สำหรับความสูง Ninja e-1 จะมีความสูง 43.5 นิ้ว และ Z e-1 มีความสูง 40.7 นิ้ว ส่วนของน้ำหนัก Ninja e-1 มีน้ำหนักอยู่ที่ 140 กิโลกรัม ส่วน Z e-1 มีน้ำหนักน้ำที่เบากว่าเล็กน้อย 135 กิโลกรัม

 

 

      เริ่มกันที่สเปกของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั้งสองรุ่นนี้ จะมีสเปกที่เหมือนกันทั้งหมด เริ่มจากมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (Synchronous motor) ขนาด 5 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 9 กิโลวัตต์ (หรือประมาณ 12 แรงม้า) ซึ่งในปัจจุบันรถจะยังไม่มีเทคโนโลยี Regenerative Braking ที่จะสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าไปในระบบเวลาชะลอรถ

 

      ในส่วนแบตเตอรี่จะมาในขนาด 30 แอมป์-ชั่วโมง รองรับการถอดออกจากรถมอเตอร์ไซค์เพื่อนำมาชาร์จไฟข้างนอกได้ โดย Kawasaki ได้ออกแบบวิธีชาร์จไฟให้กับรถให้มีความสะดวกสบายที่สุด คุณจะเลือกชาร์จไฟผ่านรถมอเตอร์ไซค์หรือจะเลือกถอดแบตเตอรี่ก็มาชาร์จก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งแบตเตอรี่หนึ่งก้อนจะใช้เวลาในการชาร์จจนไฟเต็มประมาณ 3.7 ชั่วโมง

 

 

      ทั้ง Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1 จะมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้งานสองรูปแบบ ได้แก่ Road และ Eco ซึ่งจะมีตอบสนองกำลังการขับขี่ที่แตกต่างกันออกไป ถ้าเป็นโหมด Eco ก็จะทำได้ที่ 57 กม./ชม. โดดเด่นด้วยการเน้นความประหยัดพลังงานในการเดินทางขับขี่ ส่วนโหมด Road จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 82 กม./ชม. นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน e-Boost ที่จะช่วยเพิ่มพลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าในระยะเวลา 15 วินาที และจะเพื่อใช้เร่งความเร็วในการแซงเป็นหลัก

 

      ส่วนเรื่องระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จไฟจะอยู่ประมาณ 65 กิโลเมตร (บวก/ลบ) ซึ่งบริษัทได้ใช้โหมด Road ในการขับขี่ทดสอบ แต่ต้องเน้นย้ำว่าเรื่องระยะทางที่สามารถขับขี่ได้จะมีตัวแปรอื่นๆ หลายปัจจัย เช่น น้ำหนักของผู้ขับขี่ ลมที่มาปะทะ การขี่ขึ้นหรือลงเนิน แรงดันลมยาง ตลอดรูปแบบการขับขี่ของแต่ละคนเป็นต้น

 

 

      รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั้งคู่ยังใช้ระบบกันสะเทือนและระบบเบรกที่เหมือนกัน เริ่มจากระบบกันสะเทือนหน้าเป็น Telescopic ขนาด 41 มม. ส่วนระบบกันสะเทือนหลังจะมีชื่อเรียกว่า Uni-Trak ที่สามารถปรับค่าพรีโหลดได้ ในส่วนระบบเบรก Kawasaki ให้คาลิปเปอร์สองลูกสูบที่ด้านหน้าและด้านหลัง ส่วนขนาดจานดิสก์เบรกจะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีระบบเบรก ABS ทั้งล้อหน้าและหลัง วงล้อให้เป็นอัลลอยขนาด 17 นิ้ว

 

 

      สำหรับหน้าจอเรือนไมล์สี TFT ขนาด 4.3 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั้งสองรุ่น ซึ่งจะแสดงข้อมูลสถานะต่างๆ แบบครบครั้น ไม่ว่าจะความเร็ว โหมดการขับขี่ เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ ระยะทางที่ขับขี่ได้ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟนของคุณผ่านแอปพลิเคชัน Rideology ของ Kawasaki และเรือนไมล์ TFT ก็สามารถปรับตั้งค่าความสว่างความมืดได้แบบอัตโนมัติอีกด้วย

 

 

      อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของ Kawasaki Ninja e-1 และ Z e-1 ที่แตกต่างกับฝั่งรถเครื่องยนต์สันดาปก็คือ การมีพื้นที่เก็บของขนาด 5 ลิตร ตรงบริเวณถังน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เก็บของใต้เบาะนั่งอีกเล็กน้อย ซึ่งที่เก็บของบริเวรถังน้ำมันมีขนาดที่เพียงพอจะใส่ชุดอะแดปเตอร์ไว้ชาร์จไฟไปในสถานที่ต่างๆ ได้อีกด้วย

 

      สุดท้ายนี้ Kawasaki Motors USA เปิดราคาจำหน่ายของ Ninja e-1 ไว้ที่ 7,599 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.82 แสนบาท) ส่วน Z e-1 มีราคาจำหน่ายที่ 7,299 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.71 แสนบาท) โดยจะเริ่มเปิดจองตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2023 เป็นต้นไป ส่วนการส่งมอบรถคาดการณ์ไว้จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลรายละเอียดของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัทที่เริ่มวางจำหน่าย

 

 

ที่มาของข้อมูล

kawasaki.com/en-us/

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook