Kawasaki Ninja e-1 รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ Kawasaki ขายอย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดราคาจำหน่ายอยู่ที่ 276,000 บาท ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาค่าตัวของรถไม่ธรรมดา และเชื่อว่ามีใครหลายคนเกิดคำถามต่างๆ ขึ้นมาในใจอย่างแน่นอน
พอเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากจะรู้เรื่องความเร็วที่ทำได้ กับระยะทางการขับขี่เป็นเรื่องแรก โดย Ninja e-1 ล็อกความเร็วสูงสุดของรถไว้ที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งรถจะมีปุ่ม E-Boost ที่จะทำให้รถมีความเร็วขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อย
ในส่วนของระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จไฟ ก็เคลมไว้ประมาณ 60 กม./ชาร์จ ซึ่งจุดนี้จะขึ้นอยู่กับการขับขี่ของแต่ล่ะบุคคลคนอีกที โดยความเร็วและระยะทางที่สามารถทำได้ ตรงจุดนี้ขึ้นอยู่กับโจทย์การใช้งานของคุณนั้นล่ะ ว่าทั้งความเร็วและระยะทางการขับขี่เพียงพอต่อการใช้งานรึไม่?
ขอเริ่มกันที่ดีไซน์ออกแบบของรถกันก่อน ด้วยความมีชื่อ Ninja เรื่องดีไซน์การออกแบบเรียกว่า ถอดแบบมาจากรุ่นพี่ในรหัสนี้นั้นล่ะ โดยความสปอร์ต ความดุยังอยู่ครบ ตัวรถมีเส้นสายที่คมชัดและรูปร่างที่โฉบเฉี่ยว ซึ่งดูมุมไหนดูยังไงก็เป็น Ninja ซึ่งหากไม่สังเกตดูให้ดีๆ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี้เป็นรถไฟฟ้าอีกด้วย
สำหรับเทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้า เรียกว่า Kawasaki ได้พัฒนาออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้าให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเป็นมอเตอร์ไร้แปรงถ่าน มีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่า เนื่องจากไม่มีการสูญเสียพลังงานจากการเสียดสีของแปรงถ่าน ทำให้สามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีความทนทานมากกว่า มอเตอร์มีความเงียบกว่าอีกด้วย โดยสเปกมอเตอร์ให้กำลังสูงสุด 12 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 40.5 นิวตันเมตร พร้อมมีระบบ E-Boost ที่ช่วยเพิ่มความเร็วแบบทันทีในตอนเร่งแซง โดยระบบนี้จะทำงานเป็นระยะเวลาประมาณ 15 วินาที
ถ้าคุณสังเกตจะเห็นว่า มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นแบบวางกลางคันรถ แล้วส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังล้อด้วยโซ่ สเตอร์ ซึ่งจุดนี้เป็นเรื่องการบาลานซ์น้ำหนักของรถ
ในส่วนแบตเตอรี่คือ 50.4 โวลต์ มีความจุรวม 60 แอมแปร์ชั่วโมง (Ah) โดยแบตเตอรี่จะมี 2 ก้อน น้ำหนักของแบตเตอรี่จะอยู่ที่ 11.5 กิโลกรัม/ก้อน และเวลาชาร์จไฟเต็มจะอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมง/ก้อน สำหรับเรื่องการชาร์จไฟ สามารถทำได้ 2 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการถอดแบตเตอรี่จากรถมาชาร์จ หรือจะชาร์จผ่านรถได้เลย
ทั้งนี้ที่เก็บแบตเตอรี่ของ Ninja e-1 ส่วนตัวผมชื่นชอบมากๆ เพราะใช้พื้นที่ตรงถังน้ำมันเชื้อเพลิง ดัดแปลงเป็นที่ใส่แบตเตอรี่ของรถนั้นเอง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เหลือให้สามารถเก็บสัมภาระได้อีกเล็กน้อยอีกด้วย
หน้าจอสี TFT ขนาด 4.3 นิ้ว แสดงข้อมูลครบถ้วน ความเร็วของรถ ระยะทางการขับขี่ เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ ความร้อนของแบตเตอรี่ ทริป A,B ค่าเฉลี่ยของอัตรากินแบตเตอรี่ รวมไปถึงวันเวลา
หน้าจอสี TFT
สวิตช์แฮนด์ถือว่าไม่ได้มีความแตกต่างจากปกติ แต่ก็จะมีปุ่มพิเศษต่างๆ เพิ่มเติมเข้ามาเช่นกัน โดยสวิตช์แฮนด์ฝั่งซ้ายจะมีปุ่ม WALK และ MODE ให้เลือกใช้งาน ซึ่งในส่วนของ WALK จะสามารถทำได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง โดยความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 5 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สวิตช์แฮนด์ฝั่งซ้าย
ในส่วนสวิทช์แฮนด์ฝั่งขวา ก็มีปุ่มพิเศษที่เพิ่มเติมเข้ามาเช่นกัน โดยจะเป็นปุ่ม E-Boost ที่ใช้เพิ่มอัตราเร่งให้กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบทันที
สวิตช์แฮนด์ฝั่งขวา
Kawasaki Ninja e-1 มาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้า Telescopic ขนาดแกน 41 มม. ทำงานรวมกับโช้คหลังแบบเดียว สามารถปรับค่าพรีโหลดได้
สำหรับระบบเบรกเป็นดิสก์หน้าหลัง จุดนี้อาจดูธรรมดาทั่วไป จนรู้สึกว่าไม่เหมาะกับราคาค่าตัวของรถสักเท่าไหร่ แต่ในแง่ประสิทธิภาพในการเบรกแล้ว ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานนั้นล่ะ ที่สำคัญคือมีระบบเบรก ABS ทั้งล้อหน้าและหลังเป็นมาตรฐานอีกด้วย
วงล้อแม็กขนาด 17 นิ้วหน้าหลัง โดยล้อหน้ารัดยางเบอร์ 100/80 ส่วนยางหลังรัดด้วยเบอร์ 130/70 ซึ่งยางติดรถให้เป็น IRC
ความรู้สึกที่ได้ขับขี่ใช้งาน
ไม่มีอะไรให้สงสัย! นี้คือความรู้สึกที่ผมได้สัมผัสขับขี่ใช้งาน Kawasaki Ninja e-1 ในชีวิตอยู่หลายวัน ไม่ว่าจะท่านั่งการขับขี่ การควบคุมขับขี่ การเข้าโค้ง ระบบกันสะเทือนและระบบเบรก รวมไปถึงประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
อย่างเรื่องความเร็วที่สามารถทำได้ ว่ากันตามตรงก็เพียงพอต่อการใช้งานในเมือง การเร่งแซง การทำความเร็วสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมยังมี E-Boost ที่ช่วยเพิ่งอัตราเร่งให้กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าได้แบบทันที คุณสามารถสัมผัสได้ถึงแรงดึงที่เพิ่มขึ้นอย่างทันทีเมื่อใช้งาน
ด้วยความที่ Ninja e-1 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ข้อจำกัดเดียวในการขับขี่ใช้งานคือระยะทางประมาณ 60 กม./ชาร์จ ซึ่งจุดนี้ขึ้นอยู่กับโจทย์การใช้งานของแต่ละบุคคลนั้นล่ะ
สุดท้ายนี้ใครที่สนใจหรืออยากสัมผัส Kawasaki Ninja e-1 คันจริง สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ได้ที่เพจ Kawasaki Motors Thailand ซึ่งเราขอยืนยันคำเดิมว่า 'สิบปากว่า ไม่เท่ากับได้สัมผัสเอง'